บล๊อกนี้ได้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอนรายวิชาอิเตอร์เน็ตในชีวิตประจำวัน ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
5 ก.ย. 2554
สะเดาะเคราะห์ หนีความตาย
มีคำกล่าวที่ว่า "ดีชั่วอยู่ที่ตัวเรา" ดังนั้น จึงไม่ควรเชื่อถือเรื่องโชค หรือเคราะห์ให้มากนัก แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เมื่อเกิดเหตุการณ์อันเป็นความเชื่อมานานนมว่า เหตุการณ์บางอย่างอาจนำมาซึ่งเคราะห์ร้าย คนทั่วไปก็อดไม่ได้ที่จะหาทางป้องกันไว้ก่อน ด้วยการสะเดาะเคราะห์ ซึ่งมีต่างๆ นานา หลายแบบ ตามวัฒนธรรมของหลากหลายประเทศ
หนึ่งในความเชื่อที่แพร่หลายมากในหมู่ชาวตะวันตกคือ ถ้าทำกระจกแตกจะต้องโชคร้ายไปอีก 7 ปี ฝรั่งถึงได้กลัวการทำกระจกแตกกันมาก หากเผลอทำกระจกแตกเมื่อไหร่ ต้องทำตามเคล็ดที่ว่า ตอนนำกระจกออกจากบ้านไปฝังนั้น ต้องเดินหน้าตั้งออกไป อย่าก้มลงมองกระจก และที่สำคัญคือ ต้องฝังในตอนกลางคืนที่มีพระจันทร์ขึ้นด้วย โชคร้ายถึงจะหายไปได้
นอกจากกระจก พวกฝรั่งยังมีความเชื่อเกี่ยวกับเกลือค่อนข้างมาก ว่ากันว่า หากทำเกลือหก ความโชคร้ายก็จะมาเยือน หรือไม่ก็ต้องพบกับความผิดหวัง แต่ทุกอย่างย่อมมีทางออก ถ้าเกิดมือสั่นทำเกลือหกเข้าเมื่อไหร่ ให้หยิบเกลือมาโยนข้ามบ่าซ้ายออกไป ก็สามารถสะเดาะเคราะห์ให้หายไปกับเกลือที่ถูกโยนออกจากตัวไปได้ เพราะเชื่อกันว่า จะเป็นการโยนเกลือใส่หน้ามารร้ายที่มารอดักอยู่ด้านซ้ายของร่างกายนั่นเอง หรือถ้าไม่อยากขว้างเกลือให้เรี่ยราด ก็ให้นำเกลือนั้นไปใส่เตาไฟ เพื่อเป็นการเผาไหม้เคราะห์หามยามร้าย
ที่เด็ดกว่านั้น ระหว่างเอาเกลือไปเผา ยังสามารถอธิษฐานขอให้โชคร้ายของเราไปตกอยู่กับศัตรูแทนได้ ซึ่งจะว่าไปแล้ว ความเชื่อแบบนี้ก็คล้ายกับความเชื่อของบ้านเราอยู่เหมือนกัน ที่มีการเผาพริกกับเกลือสาปแช่งคนที่ไม่ชอบขี้หน้า
พูดถึงการชำระล้างร่างกายแล้ว ที่ประเทศเปอร์โตริโกมีพิธีกรรมสำคัญ เรียกว่า เทศกาล ลา นอช เดอ ซาน ฮวน (La Noche de San Juan) ในวันที่ 24 มิถุนายนของทุกปี ซึ่งเป็นเทศกาลวันที่ระลึกถึงนักบุญจอห์น เดอะ แบ๊ปติสต์ (St.John the Baptist Day) นักบุญอุปถัมภ์ของประเทศ ซึ่งในวันนี้ชาวเปอร์โตริโกเชื่อว่า น้ำในตอนเที่ยงคืนของวันที่ 23 มิถุนายนนั้น มีพลังพิเศษ สามารถรักษาโรค...นำมาซึ่งความสวยงาม...ปรับโชคลาภให้ดีขึ้น... หรือขจัดความชั่วร้ายออกไป ดังนั้น จะมีผู้คนแห่กันไปที่แม่น้ำ ทะเล หรือสระว่ายน้ำเพื่อล้างตัว
แต่คนที่ยึดมั่นพิธีกรรมมากๆ ไม่เพียงแต่ชำระล้างเนื้อล้างตัวเฉยๆ ยังเชื่อกันว่า หลังเสร็จพิธีแล้ว จะต้องเดินถอยหลังขึ้นจากน้ำ มิหนำซ้ำ บางคนยังเชื่อว่า ถ้าได้ตีลังกาในน้ำช่วงเที่ยงคืน ก็จะช่วยให้โชคดี และเป็นการป้องกันไม่ให้ความชั่วร้ายมาหาตลอดปีอีกด้วย
และสำหรับความเชื่อที่มีมานานนับพันปี เกี่ยวกับเคราะห์ร้ายนั้น คงไม่มีอะไรที่ดูจะโหดไปมากกว่าความเชื่อเกี่ยวกับแมวดำในยุโรป กล่าวคือ พวกยุโรปมักจะคิดว่า แมวดำเป็นสัญลักษณ์ของโชคร้าย แม้ว่าปัจจุบันจะมีผู้เลี้ยงแมว รักแมวมากขึ้น แต่ก็ยังมีผู้ที่ทนกับแมวดำไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอิตาลี ซึ่งมีการประมาณการกันว่า ในปี 2549 ที่ผ่านมา น่าจะมีการสังหารแมวดำมากกว่า 60,000 ตัวในประเทศนี้ เพราะกลัวว่าพวกมันจะนำมาซึ่งโชคร้าย จนถึงกับทำให้สมาคมกลุ่มปกป้องสัตว์และสิ่งแวดล้อม ของอิตาลีต้องออกมารณรงค์รักษาชีวิตเจ้าเหมียวที่ดันเกิดมาสีดำไว้ โดยกำหนดให้วันที่ 17 พฤศจิกายนของทุกปีเป็นวันแมวดำ หรือ Black Cat Day ซึ่งเจ้าของแมวจะได้รับการชักชวนให้นำแมวดำออกไปเที่ยว และปลุกกระแสให้ชาวอิตาลีเลิกฆ่าแมวดำเพื่อขจัดความโชคร้าย หรือสะเดาะเคราะห์เสียที แต่ก็คงต้องใช้เวลาอีกนาน กว่าจะแก้ความเชื่อที่ฝังมานานนี้ได้
ฝรั่งยังเชื่อกันอีกว่า หากแมวดำเดินผ่านหน้า ถือว่าโชคร้ายจะมาเยือนแน่ๆ ให้แก้ด้วยการเดินเป็นวงกลม จากนั้นถอยหลังข้ามตรงที่แมวเดินผ่านไปโดยนับให้ได้ 13 ก้าว หรือหากอยากทำง่ายๆ หน่อยก็ให้ถอยหลังไป 12 ก้าว เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับค้างคาว ซึ่งเป็นสัตว์อีกประเภทหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของโชคไม่ดี ชาวตะวันตกเชื่อว่า หากค้างคาวบินเข้าบ้าน หรือนกฮูกร้อง 3 ครั้ง เจอผีเสื้อ 3 ตัวในเวลาเดียวกัน ได้ยินไก่ขันกลางคืน การเผลอลงจากเตียงโดยก้าวเท้าซ้ายก่อน รูปภาพหล่นจากที่แขวนไว้ ทั้งหมดนี้ล้วนแต่จะทำให้ความซวยมาเยี่ยม แต่ทางแก้ก็ง่ายนิดเดียว คือให้หมุนตัว 3 ครั้ง ทวนเข็มนาฬิกาเป็นอันเสร็จพิธีสะเดาะเคราะห์แบบรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม หากจะพูดกันถึงเรื่องเคราะห์หามยามร้ายแบบสุดๆ แทบทุกวัฒนธรรมในแถบเอเชียก็มองไปที่สิ่งซึ่งเกี่ยวกับความตาย นั่นคือ งานศพ และโลงศพ
ยกตัวอย่างเช่น คนจีนเชื่อว่าหลังจากกลับมาจากงานศพ ก่อนเข้าบ้านให้เด็ดยอดต้นทับทิมมาใส่ภาชนะที่มีน้ำ แล้วเอาน้ำล้างหน้า หรือการห้ามมิให้หญิงมีครรภ์ไปงานศพโดยเด็ดขาด ด้วยเกรงว่าวิญญาณร้ายที่วนเวียนอยู่ในบริเวณงาน อาจทำร้ายวิญญาณบริสุทธิ์ในครรภ์ของหญิงผู้นั้นได้ เป็นต้น
สำหรับโลงศพนี้ คนเอเชียส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากเจอ หรือแม้แต่จะพูดถึง เพราะแค่คิดก็รู้สึกว่าจะเกิดเรื่องร้ายแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ในบ้านเรามีความเชื่อในบางสังคมว่า หากรู้สึกโชคร้าย ก็สามารถสะเดาะเคราะห์กับโลงศพได้ ด้วยการลงไปนอนในโลง เพื่อเป็นการต่ออายุ และขับไล่ความโชคร้ายออกไป ทำให้เกิดพิธีกรรมนอนโลง บังสุกุลตาย-บังสุกุลเป็น เพื่อต่ออายุกันในหลายพื้นที่
การนอนโลง เป็นพิธีในการสะเดาะเคราะห์อยู่อย่างหนึ่งที่ชาวพุทธเชื่อว่า การได้บังสุกุลเป็นบังสุกุลตาย เป็นการให้พระมาช่วยสะเดาะเคราะห์ เป็นพิธีที่ทำมาแต่โบราณ เชื่อว่าเมื่อมีเคราะห์หามยามร้ายจะให้พระบังสุกุลเป็นบังสุกุลตายให้ เสริมจิตใจให้เข้มแข็ง เหมือนตายแล้วเกิดใหม่โดยการถือศีล 5 และให้พระเจริญนพเคราะห์เพื่อเสริมสิริมงคล
ไม่เพียงแต่ในเมืองไทยเท่านั้น ที่เกาหลีใต้ ใกล้ๆบ้านเราก็มีการจัดพิธีนอนโลงด้วยเหมือนกัน แถมยังมีผู้ที่ยอมควักกระเป๋าเป็นค่าเข้าร่วมพิธีกันอย่างล้นหลาม ด้วยความเชื่อคล้ายๆ กันก็คือ ชีวิตใหม่หลังการ (แกล้ง) ตายนั้น ย่อมดีกว่าชีวิตเดิมๆ ที่เป็นอยู่
แล้วก็ไม่น่าเชื่อเลยว่า วันนี้ได้มีคนเอาความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของการ "นอนโลง" เพื่อสะเดาะเคราะห์มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์ไทยเรื่อง "โลงต่อตาย" ซึ่งนำเสนอผลลัพธ์ของการนอนโลงในแง่มุมแตกต่างจากที่เราๆ เคยได้รับรู้กันมา ผลจากการนอนโลงจะช่วยสะเดาะเคราะห์ได้จริงๆหรือไม่ หรืออาจกลายเป็นเหตุสร้างเภทภัยสยองขวัญอันไม่คาดคิด!
และนั่นคงเป็นสิ่งที่พวกเรายังต้องติดตามค้นหากันต่อไป...
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น